J'aime tout le monde.

วันอังคารที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2551

24 ชม.การทำงานของอวัยวะ...

อวัยวะต่างๆ เค้าก็มีเวลาทำงานเป็นของเค้าเองนะ..ไปทำความเข้าใจร่างกายกัน!


รู้ไหมว่าร่างกายเราจะมีการไหลเวียนของพลังชีวิต (ลมปราณ) ผ่านอวัยวะภายในต่างๆตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งถ้าหากรู้จักปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้สอดคล้องเหมาะสมก็จะช่วยให้สุขภาพดีได้ in magazine จึงนำเกร็ดความรู้เกี่ยวกับนาฬิกาชีวิตของ อ.สุทธิวัสส์ คำภา มาฝาก

การไหลเวียนผ่านแต่ละอวัยวะนั้นจะใช้เวลาถึง 2 ชั่วโมง ซึ่งร่างกายคนเรามีทั้งหมด 12 อวัยวะ ได้แก่ หัวใจ เยื่อหุ้มหัวใจ ปอด ม้าม ตับ ไต กระเพาะอาหาร ถุงน้ำดี ลำไส้ใหญ่ ลำไส้เล็ก กระเพาะปัสสาวะ และระบบความร้อนของร่างกาย กว่าจะไหลเวียนครบทุกอวัยวะก็จะใช้เวลา 1 วันเต็มพอดี โดยเริ่มจาก


01.00-03.00 น. ตับ
ในช่วงเวลานี้ตับจะหลั่งสารมีราโทนิน เพื่อฆ่าเชื้อโรค ทำให้หน้าอ่อนกว่าวัย แถมยังหลั่งสารเอ็นโดรฟินออกมาด้วย จึงควรพักผ่อนนอนหลับให้สนิท และไม่ควรทานอาหารเพราะจะทำให้ตับทำงานหนักและเสื่อมเร็ว ทำให้ไม่สามารถขจัดสารพิษในร่างกาย ถ้าตับมีปัญหา เส้นผม ขน และเล็บจะไม่สวย


03.00-05.00 น. ปอด
ควรตื่นขึ้นมาสูดอากาศบริสุทธิ์ และรับแดดตอนเช้า หากตื่นแบบนี้เป็นประจำทุกวัน ปอดจะดี ผิวก็จะดีขึ้นตาม


05.00-07.00 น. ลำไส้ใหญ่
ควรถ่ายทุกเช้าให้เป็นนิสัย ถ้าถ่ายไม่ออกให้ดื่มน้ำอุ่น 2 แก้ว หรือน้ำผึ้งผสมมะนาว และอาจบริหารโดยยืนตรง หายใจเข้า แล้วก้มลงพร้อมหายใจออก เอามือเท้าเข่าแขม่วท้องจนเหมือนว่าหน้าท้องไปติดสันหลัง ให้ทำจนกว่าจะถ่าย คนที่ไม่ถ่ายหรือถ่ายยากในตอนเช้า ร่างกายจะดูดกากอาหารตกค้างซึ่งกำลังจะเป็นอุจจาระกลับเข้าไปใหม่ ทำให้ลำไส้ใหญ่รวนผิดปกติ ส่งผลให้เกิดอาการปวดหัวไหล่ และอาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้นอนกรน


07.00-09.00 น. กระเพาะอาหาร
หากกินข้าวเช้าช่วงนี้ได้ทุกวันจะช่วยให้กระเพาะแข็งแรง ถ้าปล่อยให้กระเพาะอ่อนแอ จะทำให้เป็นคนตัดสินใจช้า ขี้กังวล ขาไม่ค่อยมีแรง ปวดเข่า หน้าแก่เร็วกว่าวัย ถ้าไม่กินข้าวเช้าอุจจาระจะถูกดูดกลับมาที่กระเพาะ ทำให้กลิ่นตัวเหม็น ถ้าถ่ายออกหมดก็จะไม่มีกลิ่นตัวเท่าไร


09.00-11.00 น. ม้าม
ม้ามมีหน้าที่ควบคุมเม็ดเลือด สร้างน้ำเหลือง ควบคุมไขมัน คนที่ยังนอนหลับช่วงนี้อยู่จะทำให้ม้ามอ่อนแอ คนที่พูดมากช่วงนี้ม้ามจะชื้น อาหารและน้ำที่กินเข้าไปจะแปรสภาพเป็นไขมัน ทำให้อ้วนง่าย ดังนั้น จึงควรพูดน้อย กินน้อย และไม่นอนหลับในช่วงนี้ ม้ามจึงจะแข็งแรง คนที่ปวดหัวบ่อย และมีอาการเจ็บชายโครงนั้นมักมาจากม้าม หากม้ามโตจะไปเบียดปอดทำให้เหนื่อยง่าย ผอมเหลือง ตาเหลือง และสร้างเม็ดเลือดขาวได้น้อย


11.00-13.00 น. ระบบหัวใจ
ช่วงนี้หัวใจจะทำงานหนัก จึงควรหลีกเลี่ยงความเครียด หรือเหตุที่ทำให้ต้องใช้ความคิดหนัก ควรหาทางระงับอารมณ์ให้ผ่อนคลาย


13.00-15.00 น. ลำไส้เล็ก
ลำไส้เล็กทำหน้าที่ดูดสารอาหารที่เป็นน้ำทุกชนิด เช่น วิตามินซี บี โปรตีน เพื่อสร้างกรดอะมิโน สร้างเซลล์สมอง ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ สร้างไข่สำหรับผู้หญิง ถ้ากรดอะมิโนน้อย ไข่จะมาไม่ครบทุกเดือน ดังนั้น จึงควรงดกินอาหารทุกประเภทในช่วงเวลานี้ เพื่อเปิดโอกาสให้ลำไส้ทำงานได้อย่างเต็มที่


15.00-17.00 น. กระเพาะปัสสาวะ
ซึ่งเกี่ยวข้องกับระบบความจำ ไทรอยด์ และระบบเพศทั้งหมด ช่วงนี้ควรทำให้เหงื่ออกด้วยการออกกำลังกายหรืออบตัว กระเพาะปัสสาวะจะได้แข็งแรง การอั้นปัสสาวะบ่อยจะทำให้ปัสสาวะถูกดูดซึมเข้ากระแสเลือด ส่งผลให้เหงื่อมีกลิ่นเหม็น


17.00-19.00 น. ไต
ควรทำใจให้สดชื่น ไม่ง่วงเหงาหาวนอน เวลานี้ถ้าง่วงแสดงว่าไตเสื่อม ถ้าหลับแล้วเพ้อแสดงว่าอาการหนัก ถ้าไตซ้ายมีปัญหา จะกลายเป็นคนขี้ร้อน ปล่อยเนื้อปล่อยตัว ไม่รักสวยรักงาม แต่ถ้าไตขวามีปัญหา ความจำเสื่อมและเป็นคนขี้หนาว ถ้าไตทำงานหนักก็จะกลายเป็นโรคไต สมองเสื่อม ปวดหลัง เป็นหวัดง่าย มีเสลดในคอ


19.00-21.00 น. เยื่อหุ้มหัวใจ
ปัญหาเกี่ยวกับเยื่อหุ้มหัวใจ คือ หัวใจโต หัวใจรั่ว เส้นโลหิตหัวใจตีบ ช่วงนี้จึงต้องระวังเรื่องอารมณ์ตื่นเต้น ดีใจ และการหัวเราะ ควรทำจิตใจให้สงบด้วยการสวดมนต์ ทำสมาธิ


21.00-23.00 น. ระบบความร้อนของร่างกาย
ช่วงนี้อย่าตากลม เพราะลมมีพิษ ควรทำร่างกายให้อุ่น ห้ามอาบน้ำเย็น จะเจ็บป่วยได้ง่าย (ตอนเย็นควรอาบน้ำอุ่น ส่วนตอนเช้าควรอาบน้ำเย็น)


23.00-01.00 น. ถุงน้ำดี
เมื่ออวัยวะใดขาดน้ำก็จะดึงจากถุงน้ำดี ทำให้ถุงน้ำดีข้น อารมณ์จะฉุนเฉียว สายตาเสื่อม เหงือกบวม ปวดฟัน นอนไม่หลับ ตื่นกลางดึก ตอนเช้าจะจาม ถุงน้ำดีจะโยงไปถึงปอด จะปวดศีรษะข้างเดียวหรือสองข้างโดยไม่ทราบสาเหตุ ดังนั้น จึงควรดื่มน้ำก่อนเข้านอน หรือก่อนเวลา 23.00 น.

วันจันทร์ที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2551

เทคนิคคลายเครียด

ความเครียดเป็นเรื่องของร่างกายและจิตใจ

ที่เกิดการตื่นตัวเตรียมรับกับเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่ง ความเครียดเป็นเรื่องที่มีกันทุกคน จะมากหรือน้อยนั้นขึ้นอยู่กับสภาพปัญหา การคิด และการประเมินสถานาการณ์ของแต่ละคน ความเครียดเกิดจากสาเหตุสำคัญ 2 ประการ คือ

1. สภาพปัญาหที่เกิดขึ้นในชีวิต เช่น ปัญหาการเงิน ปัญหาการงาน ปัญหาครอบครัว ปัญหาการเรียน ปัญหาสุขภาพ เป็นต้น

2. การคิดและการประเมินสถานการณ์ของบุคคล เราจะสังเกตได้ว่าคนที่มองโลกในแง่ดี มีอารมณ์ขัน ใจเย็น จะมีความเครียดน้อยกว่าคนที่มองโลกในแง่ร้าย เอาจริงเอาจังกับชีวิตและใจร้อน นอกจากนี้คนที่รู้สึกว่าตัวเองมีคนคอยให้การช่วยเหลือเมื่อมีปัญหา เช่น มีคู่สมรส มีพ่อแม่ ญาติพี่น้อง มีเพื่อสนิท ก็จะมีความเครียดน้อยกว่าคนที่อยู่โดดเดี่ยวตามลำพัง

การจัดการกับความเครียด

แนวทางในการจัดการกับความเครียด มีดังนี้

1 หมั่นสังเกตความผิดปกติทางร่างกาย จิตใจ และพฤติกรรมที่เกิดจากความเครียด

2 เมื่อรู้ตัวว่าเครียดจากปัญหาใด ให้พยายามแก้ปัญหานั้นให้ได้โดยเร็ว

3 เรียนรู้การปรับเปลี่ยนความคิดจากแง่ลบให้เป็นแง่บวก

4 ผ่อนคลายความเครียดด้วยวิธีที่คุ้นเคย

5 ใช้เทคนิคเฉพาะในการคลายเครียด

การสำรวจความเครียดของตนเอง

ความเครียดจะส่งผลให้เกิดความผิดปกติทางร่างกาย จิตใจ และพฤติกรรม ดังนี้
ความผิดปกติทางร่างกาย ได้แก ปวดศรีษะไมเกรน ท้องเสีย หรือท้องผูก นอนไม่หลับหรือง่วงเหงาหาวนอนตลอดเวลา ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ เบื่ออาหารหรอืกินมากกว่าปกติ ท้องอืดเฟ้อ อาหารไม่ย่อย ประจำเดือนมาไม่ปกติ เสื่อมสมรรถภาพทางเพศ เป็นต้น
ความผิดปกติทางจิตใจ ได้แก่ วิตกกังวล คิดมาก คิดฟุ้งซ่าน หลงลืมง่าย ไม่มีสมาธิ หงุพหงิด โกรธง่าย ใจน้อย เบื่อหน่าย ซึมเศร้า เหงา ว้าเหว่ สิ้นหวัง หมดความรู้สึกสนุกสนาน เป็นต้น
ความผิดปกติทางพฤติกรรม ได้แก่ สูบบุหรี่ ดื่มสุรามากขึ้น ใช้สารเสพย์ติด ใช้ยานอนหลับ จู้จี้ขี้บ่น ชวนทะเลาะ มีเรื่องขัดแย้งกับผู้อื่นบ่อย ๆ เงียบขลึม เก็บตัว

แก้ปัญหาได้ก็หายเครียด

ปัยหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิต เป็นสาเหตุที่กระตุ้นให้เกิดความเครียดในช่วงที่ยังแก้ปัญหาไม่ได้จะรู้สึกเครียดมาก เมื่อแก้ปัญหาได้แล้ว ความเครียดจะหมดไป เราจึงจำเป็นต้องเรียนรู้วิธีการแก้ปัญหาที่ถูกต้องเหมาะสมเพื่อจะได้แก้ปัญหาได้ดีและรวดเร็วยิ่งขึ้น
จงละเว้นการแก้ปัญหาแบบต่าง ๆ ต่อไปนี้

1 อย่า...แก้ปัญหาแบบวู่วาม ใช้อารมณ์เป็นใหญ่

2 อย่า...หนีปัญหา

3 อย่า...คิดแต่จะพึ่งพาผู้อื่นอยู่ร่ำไป

4 อย่า...เอาแต่ลงโทษตัวเอง

5 อย่า...โยนความผิดให้ผู้อื่น

จงแก้ปัญาหอย่าเป็นระบบ ใช้เหตุผลและใช้ความคิดพิจารณาให้ถี่ถ้วน โดย

* คิดหาสาเหตุของปัญหาด้วยใจเป็นธรรม ไม่เข้าข้างตัวเอง ไม่โทษคนอื่น

* คิดหาวิธีแก้ปัญหาหลาย ๆ วิธี ถ้าคิดเองไม่ออก อาจปรึกษาผู้ใกล้ชิด หรือผุ้ทีมีประสบการณ์มากกว่า

* ลงมือแก้ปัญหาตามวิธีที่คิดไว้ อาจต้องใช้ความกล้าหาญ อดทน หรือต้องใช้เวลาบ้างอย่างได้ท้อถอยไปเสียก่อน

* ประเมินผลดูว่าวิธีที่ใช้ได้ผลหรอืไม่ ถ้าไม่ได้ผลก็เปลี่ยนไปใช้วธีอื่นๆ ที่เตียมไว้ จนกว่าจะได้ผล

วันอาทิตย์ที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2551

Palais de Chaillot

Histoire
La colline de Chaillot abritait depuis 1651 le couvent de la Visitation, détruit après la Révolution. L’esplanade vide au cœur de Paris qui résultait de cette destruction suscita de nombreux projets : Napoléon y voulu une cité impériale en l'honneur de son fils, le roi de Rome ; le sculpteur Antoine Etex désirait quant à lui une monumentale fontaine et un phare. Mais rien de tout cela ne fut réalisé. Devant le succès populaire de l’expédition espagnole de 1823 et sa victoire au fort du Trocadéro par le duc d'Angoulême, Louis XVIII eut l'idée de construire un monument en hommage à ce fait d’arme. La « villa Trocadéro » était un palais de style mauresque, flanqué de deux minarets de 70 m de hauteur.

L’ancien Palais du Trocadéro fut ensuite construit par Gabriel Davioud et Jules Bourdais pour l'Exposition universelle de 1878, avec des jardins de l'ingénieur Alphand. Plus tard, lors de l'Exposition universelle de 1937, le bâtiment fut détruit et remplacé par le Palais de Chaillot, qui en garda une partie de l'ossature et la configuration de deux ailes en demi-cercles.

Mont Blanc


Le mont Blanc (en italien monte Bianco), dans le massif du Mont-Blanc, entre le département de la Haute-Savoie (France) et la vallée d'Aoste (Italie), objet d'un litige entre les deux pays, est le point culminant de la chaîne des Alpes. Avec une altitude de 4 810,90 mètres, il est le plus haut sommet d'Europe occidentale et le cinquième sur le plan continental en considérant les montagnes du Caucase, et il offre un large panorama.


De nombreux itinéraires populaires permettent de le gravir avec une préparation sérieuse, tout en pensant à respecter ce milieu fragile.


Le sommet a depuis plusieurs siècles représenté un objectif pour toutes sortes d'aventuriers, en commençant par sa première ascension en 1786, mais aussi un objet de fascination dans les œuvres culturelles.


Situation

Le mont Blanc s'élève au cœur du massif du Mont-Blanc et constitue le point culminant de la chaîne des Alpes. C'est également le plus haut sommet d'Europe occidentale, ce qui lui vaut le surnom de Toit de l'Europe. Il se situe à cheval entre la France et l'Italie, au sud de Chamonix (département de la Haute-Savoie, 200 kilomètres à l'est de Lyon) et au nord-ouest de Courmayeur (vallée d'Aoste, 150 kilomètres au nord-ouest de Turin)

Il domine les fameuses aiguille du Midi au nord et Grandes Jorasses au nord-est, et alimente directement le glacier des Bossons vers la vallée de l'Arve.


Panorama
Depuis le sommet du mont Blanc, il est possible de voir ou d'apercevoir quatre massifs montagneux : le Jura, les Vosges, la Forêt-Noire et le Massif central. La vision théorique lointaine dépend de la géomorphologie et de l'influence de la courbure terrestre.

วันอังคารที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2551

“ 9 เทคนิค ฝึกสมองไบรท์ “

โดย วนิษา เรซ ผู้เชี่ยวชาญด้านอัจฉริยภาพจาก ม.ฮาร์วาร์ด ผู้หญิงสมัยนี้ อยากสวย ฉลาด และสุขภาพดี ทุกคนจึงพากันดูแลรูปร่าง ด้วยการออกกำลังกาย เคร่งครัดเรื่องอา หารการกิน แต่ไม่เคยมีใครสนใจว่าจะดูแลสมองอย่างไรให้มีสุขภาพดี ทั้งที่สมองเป็นอวัยวะที่ตัดสินใจทุกเรื่องของชีวิต เราจึงควรเอกเซอร์ไซส์สมองให้ไบรท์ด้วยเทคนิคง่าย ๆ ต่อไปนี้

1. จิบน้ำบ่อย ๆ
สมองประกอบด้วยน้ำ 85 % เชลล์สมองก็เหมือนต้นไม้ที่ต้องการน้ำหล่อเลี้ยง ถ้าไม่มีน้ำ ต้นไม้ก็เหี่ยว ถ้าไม่อยากให้เชลล์สมองเหี่ยว ซึ่งส่งผลให้การส่งข้อมูลช้า กลายเป็นคนคิดช้าหรือคิดไม่ค่อยออก แต่ละวันจึงควรดื่มน้ำบ่อย ๆ

2. กินไขมันดี
คนไม่ค่อยรู้ว่าสมองคือก้อนไขมัน ซึ่งจำเป็นต้องมีไขมันดีไปทดแทนส่วนที่สึกหรอ แนะนำให้กินไขมันดีระหว่างวัน จำพวกน้ำมันปลา สารสกัดใบแปะก๊วย ปลาที่มีไขมันดีอย่าง ปลาแซลมอน นมถั่วเหลือง วิตามินรวม น้ำมันพริมโรสเป็นน้ำมันดี ที่ทำให้เชลล์ชุ่มน้ำ ส่วนวิตามินซีกินแล้วสดชื่น

3. นั่งสมาธิวันละ 12 นาที
หลังจากตื่นนอนแล้ว ให้ตั้งสติและนั่งสมาธิทุกเช้า วันละ 12 นาที เพื่อให้สมองเข้าสู่ช่วงที่มีคลื่น Theta ซึ่งเป็นคลื่นที่ผ่อนคลายสุด ๆ ทำให้สมองมี Mental Imagery สามารถจินตนาการเห็นภาพและมีความคิดสร้างสรรค์ ( ถ้าทำไม่ได้ตอนเช้า ) ให้หัดทำก่อนนอนทุกวัน

4. ใส่ความตั้งใจ
การตั้งใจในสิ่งใดก็ตาม เหมือนการโปรแกรมสมองว่านี่คือสิ่งที่ต้องเกิด ระหว่างวันสมองจะปรับพฤติกรรมเราให้ไปสู่เป้าหมายนั้น ทำให้ประสบความสำเร็จในสิ่งต่าง ๆ เพราะสมองไม่แยกระหว่างสิ่งที่ทำจริงกับสิ่งที่คิดขึ้น ทั้งสองอย่างจึงเป็นเสมือนสิ่งเดียวกัน

5. หัวเราะและยิ้มบ่อย ๆ
ทุกครั้งที่ยิ้มหรือหัวเราะ จะมีสารเอ็นโดรฟิน ซึ่งเป็นสารแห่งความสุข หลั่งออกมาเท่ากับเป็นการกระตุ้นให้มีความอยากรักและหวังดีต่อคนอื่นไปเรื่อยๆ

6. เรียนรู้สิ่งใหม่ทุกวัน
สิ่งใหม่ในที่นี้หมายถึง สิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน เช่น กินอาหารร้านใหม่ ๆ รู้จักเพื่อนใหม่ อ่านหนังสือเล่มใหม่ คุยกับเพื่อนร่วมงานและเรียนรู้วิธีการทำงานของเขา เป็นต้น เพราะการเรียนรู้สิ่งใหม่ทำให้สมองหลั่งสารเอ็นโดรฟิน และโดปามีน ซึ่งเป็นสารแห่งการเรียนรู้ กระตุ้นให้อยากเรียนรู้และสร้างสรรค์ ไปเรื่อย ๆ เมื่อมีความสุขก็ทำให้มีความคิดสร้างสรรค์

7. ให้อภัยตัวเองทุกวัน
ขณะที่การไม่ให้อภัยตัวเอง โกรธคนอื่น โกรธตัวเอง ทำให้เปลืองพลังงานสมอง การให้อภัยตัวเอง เป็นการลดภาระของสมอง

8. เขียนบันทึก Graceful Journal
ฝึกเขียนขอบคุณสิ่งดี ๆ ที่เกิดขึ้นแต่ละวันลงในสมุดบันทึก เช่น ขอบคุณที่มีครอบครัวที่ดี ขอบคุณที่มีสุขภาพที่ดี ขอบคุณที่มีอาชีพที่ทำให้มีความสุข เป็นต้น เพราะการเขียนเรื่องดี ๆ ทำให้สมองคิดเชิงบวก พร้อมกับหลั่งสารเคมีที่ดีออกมา ช่วยให้หลับฝันดี ตื่นมาทำสมาธิได้ง่าย มีความคิดสร้างสรรค์

9. ฝึกหายใจลึก ๆ
สมองใช้ออกชิเจน 20 25 % ของออกชิเจนที่เข้าสู่ร่างกาย การฝึกหายใจเข้าลึก ๆ จึงเป็นการส่งพลังงานที่ดีไปยังสมอง ควรนั่งหลังตรงเพื่อให้ออกชิเจนเข้าสู่ร่างกายได้มากขึ้น ถ้านั่งทำงานนาน ๆ อาจหาเวลายืนหรือเดินยึดเส้นยืดสายเพื่อให้ปอดขยายใหญ่ สามารถหายใจเอาออกชิเจนเข้าปอดได้เพิ่มขึ้นอีก 20 %

การมีสมองที่ดีก็เหมือนทักษะทุกอย่างในโลกที่เรียนรู้ได้ แต่จะเก่งหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับการฝึกฝน ถ้าเราดูแลและฝึกฝนสมองให้ดี คุณภาพชีวิตก็จะดีตาม

7 วิธีคิดอย่างฉลาด


7 วิธีคิดอย่างคนเก่ง

คนจะเก่งได้นั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับพรสวรรค์เพียงอย่างเดียว แต่ต้องมีพรแสวงด้วย คือหมั่นค้นคว้าหาความรู้เพิ่มเติมหมั่นฝึกฝน และพัฒนาตนเองอย่างไม่หยุดนิ่ง สิ่งเหล่านี้แหละที่จะทำให้คุณกลากเป็นคนเก่ง ด้านการปฎิบัติ การฝึกฝนทุกคนคงจะพอทำกันได้ แต่ในด้านความคิดล่ะ คนเก่งเขาคิดกันอย่างไร แล้วคิดอย่างไรถึงจะเป็นคนเก่งมาลองดู 7 วิธีนี้ดู เราว่ามันให้อะไรมากกว่าการเป็นคนเก่งอีกนะ

1. คิดในทางมองโลกในแง่ดี

และทำทุกสิ่งอย่างเต็มกำลังด้วยรอยยิ้มและความเบิกบานทำตัวให้สดชื่นมีชีวิตชีวา และกระตื้อรื้อร้นอยู่เสมอ พร้อมที่จะเผชิญกับสถานการณ์ จะช่วยให้คุณจัดการกับทุกเรื่องที่ผ่านเข้ามาได้อย่างอยู่มือ

2. มีศรัทธาในตัวเอง

ถ้าแม้แต่คุณเองยังไม่ศรัทธาและเชื่อมั่นในตัวเอง แล้วจะมีมนุษย์หน้าไหนล่ะ จะเชื่อมั่นในความเก่งของคุณ อยากให้ใครๆเขาชื่นชอบ และทึ่งในตัวคุณ คุณก็ต้องมั่นใจในตัวคุณก่อน

3. ขอท้าคว้าฝัน

ไม่มีอะไรที่จะทรงพลังมากเกบความตั้งใจจริงและทุ่มสุดตัวหรอกนะ ความกระหายอันแรงกล้าที่จะพาตัวเองไปสู่จุดมุ่งหมายนั่นแหละเป็นแรงผลักดันที่จะทำให้คุณสามารถสานฝันสู่ความจริงได้

4. ค้นหาบุคคลต้นแบบ

ใครก็ได้ที่คุณชื่นชม เพื่อเป็นมาตราฐานที่ดีในการดำเนินรอยตาม ศึกษาวิธีคิด วิธีการทำงาน จุดเด่นในตัวเขา เผื่อว่าเราจะได้ไอเดียแจ๋วๆ มาปรับใช้ให้ชีวิตก้าวโลดสู่ความสำเร็จ

5. เริ่มต้นงานใหม่ด้วยรอยยิ้มที่สดใส

คนที่มีรอยยิ้มเบิกบานไว้บนใบหน้าเปรือบเสมือนมีประตูเปิดกว้างที่ใครๆก็อยากจะเข้ามาทัก นอกจากนี้รอยยิ้มยังทำให้คนรอบข้างอีกด้วย

6. เรียนรู้จากความผิดพลาด

สี่เท้ายังรู้พลาด นักปราชญ์ยังรู้พลั้ง จะเป็นอะไรเชียวถ้าเราทำอะไรแล้วยังไม่สำเร็จอย่างที่หวังไว้ เพียงแต่ขอให้ทำเต็มที่และเปิดใจให้กว้าง ยอมรับความจริง หันมาทบทวนว่ามีขั้นตอนไหนที่ผิดพลาด...เพื่อที่จะได้เริ่มต้นใหม่ให้ดีกว่าเดิม


7. ทนุถนอมมิตรสัมพันธ์เก่า...

คงไม่มีใครที่จะอยู่อย่างมีความสุขโดยปราศจากเพื่อนหรือมิตรที่รู้ใหรอกนะ แม้ว่าชีวิตคุณในแต่ละวันจะวุ่นวายแค่ไหนก็ตาม คุณควรจะมีเวลาให้กับเพื่อนซี้ที่รู้จักมักจี้กันมานานซะบ้างแวะไปมาหากัน เมื่อโอกาสอำนวย ชวนกันออกมาทานข้าวบ้าง เผื่อในยามที่คุณเปล่าเปลี่ยวหงอยเหงา ก็ยังมีเพื่อนซี้ไว้พึ่งพาและให้กำลังใจกันได้นะ